• support@cz.co.th
  • 080-678-8886

แชร์ 5 เคล็ดลับ วิธีใช้ Google Ads และ Facebook Ads ให้ได้ผลสูงสุด

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การโฆษณาผ่าน Google Ads และ Facebook Ads เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการตลาดออนไลน์ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้อย่างมากขึ้นและตรงจุด แต่การจะใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดนั้น ไม่ใช่แค่การตั้งโฆษณาแล้วรอผล แต่ต้องมีเทคนิคและวิธีการเฉพาะที่จะช่วยเปิดการมองเห็นโฆษณาของคุณได้อย่างเต็มที่ 5 เคล็ดลับในการใช้ Google Ads และ Facebook Ads มีอะไรบ้างมาดูกัน

1. รู้จักกลุ่มเป้าหมายให้ดี

ความสำเร็จในการทำโฆษณาออนไลน์ จะขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณดีแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งานของพวกเขา การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องบน Google Ads และ Facebook Ads จะช่วยให้โฆษณาของคุณถูกแสดงให้กับคนที่มีแนวโน้มสนใจมากที่สุด

  • Google Ads 

ใช้เครื่องมือ Audience Manager เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียด เช่น กลุ่มที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ หรือค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

  • Facebook Ads 

ใช้ฟีเจอร์ Custom Audiences เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจของคุณหรือผู้ที่คล้ายกับลูกค้าเดิม

2. เลือกใช้คำโฆษณาที่โดดเด่น

โฆษณาที่น่าสนใจและกระชับ มีผลต่อการดึงดูดความสนใจของผู้ชม คุณควรใช้ถ้อยคำที่บอกถึงประโยชน์ของสินค้าและบริการอย่างชัดเจน และเสนอสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการคลิก เช่น โปรโมชั่นพิเศษ หรือส่วนลดที่จำกัดเวลา

  • Google Ads 

เนื่องจากมีพื้นที่ข้อความที่จำกัด คำโฆษณาจึงควรตรงประเด็นและดึงดูด เช่น ใช้คำกระตุ้น เช่น “ลดทันที 20%” หรือ “สั่งซื้อวันนี้ ส่งฟรี!”

  • Facebook Ads

สามารถใช้ข้อความที่ยาวกว่า แต่ควรเขียนให้กระชับและสื่อความหมายเร็วที่สุด ใช้คอนเทนต์ภาพที่ดึงดูดความสนใจ พร้อมแทรกคำบรรยายที่ทำให้คนหยุดเลื่อนฟีดแล้วคลิก

โฆษณาที่มีข้อความกระตุ้นและภาพหรือวิดีโอที่ชัดเจนจะเพิ่มอัตราการตอบรับจากผู้ชมได้อย่างดี

3. ทดสอบหลายเวอร์ชัน (A/B Testing)

ไม่ว่าจะเป็น Google Ads หรือ Facebook Ads การทดสอบหลายรูปแบบของโฆษณาจะช่วยให้เห็นว่าเวอร์ชันไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งรูปแบบข้อความ ภาพ หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

  • Google Ads 

 ลองทดสอบคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันหรือการใช้คำโฆษณาที่หลากหลาย เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนดึงดูดการคลิกได้มากกว่า

  • Facebook Ads 

ทดสอบภาพหรือวิดีโอที่ต่างกัน เช่น ภาพที่เน้นผลิตภัณฑ์ หรือภาพที่มีคนใช้งาน เพื่อดูว่าแบบไหนสร้าง Engagement ได้ดีกว่า

4. ตั้งงบประมาณและประเมินผลลัพธ์ให้เหมาะสม

การตั้งงบประมาณให้เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ โฆษณาออนไลน์นั้นมีความยืดหยุ่น คุณสามารถกำหนดงบประมาณต่อวันหรือในช่วงเวลาหนึ่งได้ ไม่ควรใช้งบทั้งหมดไปในครั้งเดียว ควรค่อยๆ ทดลองและดูผลลัพธ์

  • Google Ads 

เริ่มต้นด้วยการกำหนดงบประมาณต่ำๆ เพื่อดูว่าคำโฆษณาและกลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือกได้ผลมากน้อยแค่ไหน

  • Facebook Ads 

การปรับงบประมาณรายวันหรือเลือกแบบต่อคลิก (CPC) หรือแสดงผล (CPM) สามารถช่วยคุณควบคุมค่าใช้จ่ายและประเมินผลลัพธ์ได้ชัดเจน

ติดตามและปรับงบประมาณให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ได้ จะช่วยให้คุณใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลลัพธ์

หลังจากที่คุณเริ่มรันโฆษณาไปแล้ว การติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าสิ่งใดที่ได้ผลดีหรือควรปรับปรุง

  • Google Ads

 ใช้ Google Analytics ในการติดตามการแปลง (Conversions) หรือการกระทำที่คุณต้องการให้เกิดขึ้นจากผู้ชม เช่น การซื้อสินค้า หรือการกรอกฟอร์ม

  • Facebook Ads 

Facebook มีฟีเจอร์ Ads Manager ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียด ทั้งจำนวนการคลิก, การแสดงผล, อัตราการคลิก (CTR) และต้นทุนต่อการแปลงผล (CPA)

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ตามผลลัพธ์ที่วิเคราะห์ออกมา ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การใช้งาน Google Ads และ Facebook Ads ให้ได้ผลสูงสุดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องวางแผนให้ดีและรู้จักความละเอียดในการปรับแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักกลุ่มเป้าหมาย  เลือกใช้คำโฆษณาที่ดึงดูดใจ ทดสอบหลายเวอร์ชัน ตั้งงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลลัพธ์ เมื่อคุณทำตาม 5 เคล็ดลับเหล่านี้ คุณจะเห็นความแตกต่างในผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม และทำให้การทำตลาดออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

สุดยอดผู้ให้บริการที่ได้รับรางวัลอันดับ 1 ในปี 2016กับงาน รับทำ SEO ที่มีผู้เชื่อมั่นมากที่สุด. รับทำ SEO และ รับทำ SEO สายขาว