แชร์ 5 เคล็ดลับ วิธีใช้ Google Ads และ Facebook Ads ให้ได้ผลสูงสุด
- czopspectercom
- 0
- on ก.ย. 10, 2024
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การโฆษณาผ่าน Google Ads และ Facebook Ads เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการตลาดออนไลน์ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้อย่างมากขึ้นและตรงจุด แต่การจะใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดนั้น ไม่ใช่แค่การตั้งโฆษณาแล้วรอผล แต่ต้องมีเทคนิคและวิธีการเฉพาะที่จะช่วยเปิดการมองเห็นโฆษณาของคุณได้อย่างเต็มที่ 5 เคล็ดลับในการใช้ Google Ads และ Facebook Ads มีอะไรบ้างมาดูกัน
1. รู้จักกลุ่มเป้าหมายให้ดี
ความสำเร็จในการทำโฆษณาออนไลน์ จะขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณดีแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งานของพวกเขา การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องบน Google Ads และ Facebook Ads จะช่วยให้โฆษณาของคุณถูกแสดงให้กับคนที่มีแนวโน้มสนใจมากที่สุด
- Google Ads
ใช้เครื่องมือ Audience Manager เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียด เช่น กลุ่มที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ หรือค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- Facebook Ads
ใช้ฟีเจอร์ Custom Audiences เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจของคุณหรือผู้ที่คล้ายกับลูกค้าเดิม
2. เลือกใช้คำโฆษณาที่โดดเด่น
โฆษณาที่น่าสนใจและกระชับ มีผลต่อการดึงดูดความสนใจของผู้ชม คุณควรใช้ถ้อยคำที่บอกถึงประโยชน์ของสินค้าและบริการอย่างชัดเจน และเสนอสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการคลิก เช่น โปรโมชั่นพิเศษ หรือส่วนลดที่จำกัดเวลา
- Google Ads
เนื่องจากมีพื้นที่ข้อความที่จำกัด คำโฆษณาจึงควรตรงประเด็นและดึงดูด เช่น ใช้คำกระตุ้น เช่น “ลดทันที 20%” หรือ “สั่งซื้อวันนี้ ส่งฟรี!”
- Facebook Ads
สามารถใช้ข้อความที่ยาวกว่า แต่ควรเขียนให้กระชับและสื่อความหมายเร็วที่สุด ใช้คอนเทนต์ภาพที่ดึงดูดความสนใจ พร้อมแทรกคำบรรยายที่ทำให้คนหยุดเลื่อนฟีดแล้วคลิก
โฆษณาที่มีข้อความกระตุ้นและภาพหรือวิดีโอที่ชัดเจนจะเพิ่มอัตราการตอบรับจากผู้ชมได้อย่างดี
3. ทดสอบหลายเวอร์ชัน (A/B Testing)
ไม่ว่าจะเป็น Google Ads หรือ Facebook Ads การทดสอบหลายรูปแบบของโฆษณาจะช่วยให้เห็นว่าเวอร์ชันไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งรูปแบบข้อความ ภาพ หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
- Google Ads
ลองทดสอบคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันหรือการใช้คำโฆษณาที่หลากหลาย เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนดึงดูดการคลิกได้มากกว่า
- Facebook Ads
ทดสอบภาพหรือวิดีโอที่ต่างกัน เช่น ภาพที่เน้นผลิตภัณฑ์ หรือภาพที่มีคนใช้งาน เพื่อดูว่าแบบไหนสร้าง Engagement ได้ดีกว่า
4. ตั้งงบประมาณและประเมินผลลัพธ์ให้เหมาะสม
การตั้งงบประมาณให้เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ โฆษณาออนไลน์นั้นมีความยืดหยุ่น คุณสามารถกำหนดงบประมาณต่อวันหรือในช่วงเวลาหนึ่งได้ ไม่ควรใช้งบทั้งหมดไปในครั้งเดียว ควรค่อยๆ ทดลองและดูผลลัพธ์
- Google Ads
เริ่มต้นด้วยการกำหนดงบประมาณต่ำๆ เพื่อดูว่าคำโฆษณาและกลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือกได้ผลมากน้อยแค่ไหน
- Facebook Ads
การปรับงบประมาณรายวันหรือเลือกแบบต่อคลิก (CPC) หรือแสดงผล (CPM) สามารถช่วยคุณควบคุมค่าใช้จ่ายและประเมินผลลัพธ์ได้ชัดเจน
ติดตามและปรับงบประมาณให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ได้ จะช่วยให้คุณใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลลัพธ์
หลังจากที่คุณเริ่มรันโฆษณาไปแล้ว การติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าสิ่งใดที่ได้ผลดีหรือควรปรับปรุง
- Google Ads
ใช้ Google Analytics ในการติดตามการแปลง (Conversions) หรือการกระทำที่คุณต้องการให้เกิดขึ้นจากผู้ชม เช่น การซื้อสินค้า หรือการกรอกฟอร์ม
- Facebook Ads
Facebook มีฟีเจอร์ Ads Manager ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียด ทั้งจำนวนการคลิก, การแสดงผล, อัตราการคลิก (CTR) และต้นทุนต่อการแปลงผล (CPA)
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ตามผลลัพธ์ที่วิเคราะห์ออกมา ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การใช้งาน Google Ads และ Facebook Ads ให้ได้ผลสูงสุดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องวางแผนให้ดีและรู้จักความละเอียดในการปรับแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักกลุ่มเป้าหมาย เลือกใช้คำโฆษณาที่ดึงดูดใจ ทดสอบหลายเวอร์ชัน ตั้งงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลลัพธ์ เมื่อคุณทำตาม 5 เคล็ดลับเหล่านี้ คุณจะเห็นความแตกต่างในผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม และทำให้การทำตลาดออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น